เบาหวานในเด็กและวัยรุ่น แม้เรื่องเหมือนไม่ใหญ่ แต่ซับซ้อนกว่าที่คิด

        

โรคเบาหวานในเด็กพบได้บ่อยขึ้นและเป็นเรื่องซับซ้อนกว่าคิด ถึงเวลารวมประเด็นเรื่องโรคเบาหวานในเด็กฉบับคร่าว เฝ้าสังเกตอาการลูกก่อนเข้าพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาที่เหมาะสมได้ทันท่วงที

เบาหวานในเด็กก็เกิดขึ้นได้   

โรคเบาหวาน  (Diabetic Mellitus) คือภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปรกติและอาจมีอาการแทรกซ้อนที่รุนแรงจนเกิดภาวะเลือดเป็นกรด (DKA: Diabetic Ketoacidosis) เมื่อไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมในระยะยาวอาจทำให้อวัยวะสำคัญในร่างกายเสียหาย เช่น เบาหวานที่จอประสาทตา ภาวะไตทำงานบกพร่อง โดยทั่วไปโรคเบาหวานแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่  

  • เบาหวานชนิดที่ 1 พบตั้งแต่เด็ก ซึ่งเกิดจากเซลล์เบต้าในตับอ่อนถูกทำลาย ทำให้ร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  • เบาหวานชนิดที่ 2 เกิดจากภาวะอ้วน พันธุกรรมร่วมกับพฤติกรรมการทานอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลมากเกินไป ส่งผลให้ร่างกายเกิดภาวะดื้ออินซูลิน โดยร้อยละ 50 – 75 ของผู้ป่วยมีคนในครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน

รู้จักสิ่งที่เรียกว่า ‘อินซูลิน’      

อินซูลินเป็นฮอร์โมนจากตับอ่อนซึ่งมีหน้าที่คอยคุมสมดุลน้ำตาลในเลือดให้พอเหมาะนำไปใช้ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ในระยะแรกผู้ป่วยโรคเบาหวานจะมีภาวะดื้ออินซูลิน กล่าวคืออินซูลินทำงานได้ไม่ดี ทำให้ระดับอินซูลินสูงขึ้น และอาจเกิดภาวะซ้อนทางตับไตและรับประทานยารักษาแล้วไม่ได้ผล ดังนั้นการฉีด ‘อินซูลิน’ จึงเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวาน ขณะเดียวกันหากผู้ป่วยได้รับอินซูลินมากเกินไปจะส่งผลให้น้ำตาลในเลือดต่ำซึ่งส่งผลให้เหงื่อออกและอ่อนเพลีย

ลักษณะอาการ

เราสามารถสังเกตสัญญาณโรคเบาหวานในเด็กได้ดังต่อไปนี้

  • เริ่มปัสสาวะรดที่นอนแม้เติบโตเป็นวัยรุ่น
  • ปัสสาวะมากและบ่อย
  • กระหายน้ำและดื่มน้ำมากกว่าปรกติ
  • รับประทานอาหารมาก แต่น้ำหนักลด บางรายอาจมีภาวะอ้วนร่วม
  • มีปื้นดำหนาตามคอ รักแร้ ขาหนีบซึ่งขัดถูไม่ออก
  • ติดเชื้อราตามผิวหนัง
  • เริ่มคลื่นไส้ อาเจียน หอบ เหนื่อยเมื่อผ่านไปราว 2 -3 สัปดาห์ อันเนื่องจากภาวะเลือดเป็นกรด

การวินิจฉัย      

เมื่อพบอาการผิดปรกติดังกล่าว แพทย์จะเริ่มตรวจวินิจฉัยระดับน้ำตาลในเลือดซึ่งตรวจได้หลายรูปแบบ

  • ตรวจน้ำตาลในเลือด (Fasting Blood Sugar) อย่างน้อย 8 ชั่วโมงหากพบว่าระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่า 126 มก./ดล. ก็มีโอกาสเป็นเบาหวาน
  • ตรวจความทนทานต่อกลูโคส (Oral Glucose Tolerance Test) ด้วยการให้รับประทานกลูโคส 75 กรัม หาก 2 ชั่วโมงผ่านไปแล้วระดับน้ำตาลในเลือดยังสูงกว่า 200 มก./ดล. ก็แปลว่ามีแนวโน้มเสี่ยงเป็นเบาหวาน
  • ตรวจค่าน้ำตาลสะสม (Hemoglobin A1C) เพื่อดูระดับน้ำตาลในเลือดโดยเฉลี่ยว่าเกินกว่า 6.5 หรือไม่ หากเกินก็เป็นโรคเบาหวานได้เหมือนกัน

วิธีการรักษา      

กรณีผู้ป่วยเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 จะรักษาได้ด้วยการให้อินซูลินเป็นมาตรฐาน หากเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 แพทย์จะเริ่มให้การรักษาด้วยการรับประทานยา ในบางรายอาจใช้อินซูลินร่วมในการรักษา  

ป้องกันก่อนเกิดได้ทันกาล      

แม้เบาหวานชนิดที่ 1 นั้นยังไม่สามารถป้องกันได้ ทว่าเราสามารถป้องกันโอกาสเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จากลูกน้อยได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทาน หลีกเลี่ยงอาหารที่มีแป้งและน้ำตาลสูง ออกกำลังกายเป็นประจำก็มีส่วนช่วยทุเลาจากภาวะดื้นอินซูลินลง

เอกสารอ้างอิง

เอกสารอ้างอิง

พญ. ยอดพร หิรัญรัศ. (2568). เบาหวานในเด็กและวัยรุ่น แม้เรื่องเหมือนไม่ใหญ่ แต่ซับซ้อนกว่าที่คิด.

สืบค้น 25 พฤศจิกายน 2568, จาก www.ram-hosp.co.th/news_detail/2554