การดูแลจัดการเด็กที่มีภาวะแพ้อาหารในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย

ภาวะแพ้อาหาร คือ อาการผิดปกติของร่างกายต่ออาหาร และจะเกิดซ้ำได้เหมือนเดิมเมื่อรับประทานอาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง มักเริ่มแสดงอาการในช่วงสองขวบปีแรกของชีวิต การแพ้อาหารในเด็กมีอุบัติการณ์สูงที่สุดอยู่ที่ช่วงอายุ 1 ปี โดยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 6-8 อาหารที่เด็กเล็กแพ้ส่วนใหญ่ ได้แก่ นมวัว ไข่ ถั่วเหลือง แป้งสาลี และปลา ในต่างประเทศอาจมีเด็กส่วนหนึ่งที่แพ้ถั่วลิสงร่วมด้วยซึ่งพบไม่บ่อยในประเทศไทย ทั้งนี้ การแพ้อาหารมีอาการแตกต่างกันออกไปตามระดับความรุนแรง ในส่วนของเด็กเล็กต่ำกว่า 6 เดือน โดยเฉพาะเด็กที่กินนมแม่สามารถพบมูกปนในอุจจาระได้เล็กน้อย ถือว่าปกติ แต่ไม่ควรมีเลือดปน เด็กส่วนมากที่แพ้อาหารมักหายแพ้เมื่อโตขึ้น

แนวทางการรักษาเด็กที่มีการแพ้อาหารในภาวะฉุกเฉิน

กรณีที่ 1 หากเกิดอาการแพ้ “ไม่รุนแรง” กล่าวคือ มีอาการดังต่อไปนี้ เพียง 1 อาการ

1) จมูก: คัน น้ำมูก จาม

2) ปาก: คันรอบปาก

3) ผิวหนัง: มีผื่นลมพิษหรือคันเล็กน้อย

4) ทางเดินอาหาร: คลื่นไส้หรือรู้สึกไม่สบายท้องเพียงเล็กน้อย

การดำเนินการ

1) รับประทานยาแก้แพ้ชนิดรับประทาน ขนาดยาตามน้ำหนักตัวเด็กหรือที่แพทย์กำหนด

2) ให้ครู/ผู้ดูแลเด็กอยู่กับผู้ป่วยตลอดเวลาและติดต่อผู้ปกครอง

3) เฝ้าสังเกตอาการผู้ป่วย หากอาการรุนแรงขึ้น ให้ฉีดยาอะดรีนาลีน

กรณีที่ 2 หากเกิดอาการแพ้ข้างต้นตั้งแต่ 2 อาการขึ้นไป

การดำเนินการ:ฉีดยาอะดรีนาลีน ติดต่อผู้ปกครองและ/หรือเบอร์โทรฉุกเฉิน

กรณีที่ 3 หากเกิดอาการแพ้ “รุนแรง” กล่าวคือ มีอาการดังต่อไปนี้ อย่างน้อย 1 อาการ

1) ปอด: หายใจเหนื่อยตื้นหรือมีเสียงวี้ด ไอถี่

2) ระบบไหลเวียนเลือด: ซีด เขียว เป็นลม ชีพจรเต้นเบา หรือมึนงงศีรษะ

3) คอ: แน่นในคอหรือกลืนลำบาก

4) ปาก: ริมฝีปากหรือลิ้นบวมมาก

5) ผิวหนัง: มีผื่นลมพิษขึ้นทั่วตัวอย่างรวดเร็วหรือตัวแดงทั้งตัว

6) ทางเดินอาหาร: อาเจียนซ้ำ ๆ หรือถ่ายเหลวปริมาณมาก

7) อาการอื่น: รู้สึกไม่สบายตัว สับสน ร่วมกับมีอาการแสดงในข้ออื่น ๆ การดำเนินการ: การฉีดยาอะดรีนาลีน ติดต่อผู้ปกครองและ/หรือเบอร์โทรฉุกเฉิน

แนวทางสำหรับผู้ปกครองของเด็กแพ้อาหารในการเตรียมตัวก่อนไปสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย

1. ผู้ปกครองควรแจ้งทางโรงเรียนเกี่ยวกับข้อมูลของเด็กที่แพ้อาหาร โดยอาจมีเอกสาร food allergy  management plan ประจำตัวของเด็กจากแพทย์ประจำตัวแนบไปด้วย และปรับเปลี่ยน food allergy management plan กับทางบุคลากรในโรงเรียนอย่างสม่ำเสมอ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูล

2. เตรียมยารักษาในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการแพ้ฉุกเฉินให้กับทางสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย

3. ตรวจสอบรายการอาหารแต่ละวันที่สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยได้จัดเตรียมไว้แต่ละมื้อ

แนวทางการกำหนดนโยบายของสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย

1. ควรมีการจัดอบรม ครู บุคลากร และอาสาสมัครในโรงเรียน เพื่อให้มีความรู้และความมั่นใจเกี่ยวกับ อาการแสดงของการแพ้อาหาร ฝึกหัดการให้การรักษาแบบฉุกเฉินเบื้องต้นที่ถูกต้อง ได้รับการสอนวิธีฉีดยาอะดรีนาลีน

2. ควรมีนโยบายการล้างมือก่อนและหลังการรับประทานอาหาร โดยแนะนำให้ใช้น้ำเปล่าหรือ
น้ำร่วมกับสบู่ โดยไม่ใช้เจลล้างมือ เนื่องจากเจลล้างมือไม่สามารถช่วยลดปริมาณสารก่อภูมิแพ้จากอาหาร แต่อาจใช้ Lysol sanitizing wipes (แผ่นทำความสะอาดฆ่าเชื้อ) ได้ และควรมีการทำความสะอาดโต๊ะหรือพื้นผิวที่รับประทานอาหารก่อนและหลังรับประทานอาหาร

3. อาหารที่ขายภายในโรงเรียน ควรมีฉลากส่วนประกอบของอาหารชัดเจน นอกจากนี้ทางโรงเรียนควรมี รายการส่วนประกอบของสารก่อภูมิแพ้ในอาหารแต่ละชนิดที่ทางโรงเรียนเตรียมให้นักเรียนรับประทาน โดยที่ผู้ดูแล หรือครูประจำชั้นที่มีเด็กที่แพ้อาหารควรมีเอกสารดังกล่าวไว้กับตัว

4. ไม่ควรอนุญาตให้นำอาหารทำเอง (home cook) มารับประทานในชั้นเรียน หรือใช้ในงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง เนื่องจากอาจไม่รู้ส่วนประกอบของสารก่อภูมิแพ้อาหารที่ชัดเจน แต่สำหรับอาหารที่มีฉลากส่วนประกอบของอาหารชัดเจน (prepackaged food) ควรอนุญาตให้รับประทานได้

5. มีการกำหนดนโยบายชัดเจนว่า ผู้ป่วยที่แพ้อาหารสามารถพกยาประจำตัว รวมทั้งยาอะดรีนาลีนไว้กับตัวหรือไม่ หากไม่อนุญาตควรเก็บยาไว้ในห้องเรียน ควรมีการทำสำเนาเอกสาร food allergy action plan ของเด็กแพ้อาหารแต่ละคนไว้ในห้องเรียน หากมีการแพ้แบบฉุกเฉินเกิดขึ้น เด็กจะได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว

6. โรงเรียนควรมีการจัดเก็บยาแก้แพ้และยาอะดรีนาลีนฉุกเฉินส่วนกลาง โดยที่คุณครูและบุคลากรใน โรงเรียนควรรับทราบสถานที่ส่วนกลางที่ยาถูกเก็บไว้ และคอยตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอไม่ให้ยาหมดอายุ

7. ไม่ส่งเสริมนโยบาย food bans policy หรือ allergy free table กล่าวคือ การแยกโต๊ะอาหารของเด็ก แพ้อาหารจากเด็กที่ไม่แพ้ เนื่องจากไม่มีหลักฐานว่าช่วยลดอุบัติการณ์ของการเกิดการแพ้อาหารแบบไม่ตั้งใจ และ อาจเป็นการสร้างความลำบากให้กับเด็กที่ไม่ได้แพ้อาหาร

8. ส่งเสริมทัศนคติในการลดการล้อเลียน (bully) หรือแกล้งกันในโรงเรียน มีการสำรวจพบว่า เด็กแพ้อาหาร เหล่านี้ถูกล้อเลียน ไม่ว่าจะเป็นจากเพื่อนหรือแม้แต่บุคลากรในสถานศึกษาเอง มีข้อมูลว่าการมีครูหรือผู้ดูแลอยู่ด้วย ในช่วงเวลารับประทานอาหาร อาจช่วยลดโอกาสการแกล้งหรือล้อเลียนกันได้

เอกสารอ้างอิง

นริศรา สุรทานต์นนท์. (ม.ป.ป.). Food Allergy Management in Child Care Center and School: Practical Guidelines. ใน การอบรมวิชาการระยะสั้นประจำ พ.ศ. 2564 ของภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 2-6 สิงหาคม 2564 (หน้า 14 – 21). ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

วิมล ศรีสุข. (ม.ป.ป.). การแพ้อาหารในเด็ก…ข้อมูลสรุปสำหรับพ่อแม่มือใหม่” สืบค้น มกราคม 3, 2568 จาก https://pharmacy.mahidol.ac.th/knowledge/files/0350.pdf

วรวุฒิ เชยประเสริฐ. (2564). เลี้ยงลูกให้กินง่าย แก้ไขเด็กกินยาก. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: บริษัท อมรินทร์ บุ๊ค เซนเตอร์ จำกัด