แม้พ่อแม่ต้องจัดการและรับมือเรื่องมากมายที่ทั้งกินเวลาและสร้างความเครียดในช่วงวิกฤติ
โควิด-19 นี้ แต่กิจกรรมการเรียนรู้ที่บ้านทั้งการอ่านและการร้องเพลง รวมทั้งการเล่นกับเด็กมีผลสำคัญมากต่อการเตรียมความพร้อมให้เด็กก่อนถึงวัยเข้าโรงเรียน
สิ่งที่พ่อแม่ทำที่บ้านเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีว่าเด็กเล็กจะได้รับการเตรียมตัวพร้อมเข้าโรงเรียนแค่ไหน เมื่อดูจากทั้งคุณภาพและปริมาณ จากการวิจัยพบว่าผู้ปกครองมีส่วนร่วมกับกิจกรรมในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมากเท่าไหร่ ก็จะสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมที่บ้านมาก และยิ่งส่งผลดีมากในครอบครัวที่มี
รายได้ต่ำ
เมลิสซา บาร์เน็ตต์ นักวิจัยมหาวิทยาลัยแอริโซนาพบว่าในช่วงโควิด-19 ที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต้องปิดตัวลง แต่มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในอเมริกาหลายแห่งสามารถทำหน้าที่สนับสนุนพ่อแม่ให้มี
ส่วนร่วมในการศึกษาของเด็กที่บ้านได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลต่อความพร้อมของเด็กก่อนวัยเรียน โดยผลการวิจัยดังกล่าวตีพิมพ์ในวารสาร Early Childhood Research Quarterly ซึ่งเป็นวารสาร
ที่ตีพิมพ์งานวิจัยทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณเกี่ยวกับพัฒนาการเด็กปฐมวัย ทฤษฎีและการปฏิบัติ
ประเด็นสำคัญที่คณะวิจัยค้นพบ ได้แก่ เมื่อพ่อแม่เห็นว่าศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมีการสื่อสารที่ดี และให้ข้อมูลด้านการเรียนและพัฒนาการของเด็ก ๆ อย่างชัดเจน ตัวผู้ปกครองเองก็มีแนวโน้ม
จะเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมการศึกษา เช่น การอ่านและร้องเพลงร่วมกับเด็ก ๆ มากขึ้น ทั้งที่
ศูนย์และที่บ้าน
พ่อแม่กลุ่มที่เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กจัดมากเท่าไหร่ เช่น อาสา
ช่วยงานในชั้นเรียน เข้าประชุมทุกครั้ง หรือช่วยดูแลเด็ก ๆ เวลาจัดกิจกรรม พวกเขาก็จะมีส่วน
ในกิจกรรมการศึกษาของเด็กที่บ้านมากเช่นกัน ยิ่งผู้ปกครองมีส่วนร่วมในกิจกรรมการศึกษาที่บ้าน
มากเท่าไหร่ เด็ก ๆ ก็ยิ่งมีความพร้อม ทั้งด้านภาษาและทักษะการอ่านเบื้องต้นเพื่อจะเตรียมตัว
เข้าอนุบาลมากเท่านั้น
คุณภาพของกิจกรรมการศึกษาที่บ้านเป็นหนึ่งในสิ่งบ่งชี้สำคัญที่สุดว่าเด็กมีความพร้อม
ขนาดไหนที่จะเข้าเรียนต่อในระดับอนุบาล และส่งผลไม่เพียงแค่กับด้านภาษาและทักษะการอ่าน
เบื้องต้น แต่ยังเกี่ยวกับทักษะคณิตศาสตร์เบื้องต้นด้วย
งานวิจัยของบาร์เน็ตต์และคณะซึ่งดำเนินการตั้งแต่ก่อนมีโรคระบาด คือการติดตามดูบทบาท
ของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่กระตุ้นให้พ่อแม่ ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการศึกษากับเด็ก ๆ ทั้งที่ศูนย์และที่บ้าน โดยระเบียบวิธีการวิจัยใช้ข้อมูลจากโครงการศึกษาเด็กเล็กแบบต่อเนื่องระยะยาวโดยจัดกลุ่มตามปีเกิด (Early Childhood Longitudinal Study—Birth Cohort) ซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างระดับชาติที่คัดเลือกจากเด็ก 10,700 คนที่เกิดในสหรัฐในปี 2001 โดยติดตามตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยอนุบาล และพ่อแม่ของเด็กเหล่านี้จะตอบแบบสอบถามโดยให้คะแนนที่ออกแบบมาเพื่อวัดว่าพวกเขาคิดว่าศูนย์พัฒนาเด็กเล็กให้ข้อมูลและให้พวกเขามีส่วนร่วมได้ดีเพียงใด ผู้ปกครองยัง
ตอบคำถามด้วยว่าพวกเขามีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการศึกษาของเด็กบ่อยครั้งเพียงใด ทั้งที่ศูนย์และที่บ้าน ส่วนเด็ก ๆ จะทำแบบประเมินเพื่อวัดทักษะด้านภาษา การอ่าน และคณิตศาสตร์เบื้องต้นก่อนเข้าอนุบาล
นอกจากนั้นคณะวิจัยยังเฝ้าสังเกตผู้ปกครองและเด็กที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียน และประเมินคุณภาพของฏิสัมพันธ์เหล่านี้ด้านกระตุ้นการเรียนรู้ และพบว่าคุณภาพสำคัญต่อความพร้อมเข้าโรงเรียนยิ่งกว่าปริมาณ โดยบาร์เน็ตต์ย้ำถึงความสำคัญของการทำกิจกรรมที่บ้านแบบมีคุณภาพว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก “พ่อแม่ส่วนใหญ่ได้รับข้อมูลจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็กว่าต้องอ่านหนังสือ
และร้องเพลงกับเด็ก ๆ แต่อาจไม่รู้วิธีการที่ถูกต้องว่าจะทำให้ดีที่สุดอย่างไร” ซึ่งวิธีการที่ดีที่สุด เช่น คิดหาทางสร้างกิจกรรมที่เข้ากับความสนใจและความสามารถเฉพาะตัวของเด็ก และทำให้กิจกรรมอย่างการอ่านมีความหมายมากขึ้นด้วยการหยุดถามคำถามเป็นระยะๆ เพื่อช่วยให้เด็กเชื่อมโยง
เรื่องกับประสบการณ์ของตน