สิทธิที่คุณแม่และครอบครัวควรรู้เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการมีบุตร

เพื่อเตรียมความพร้อมและวางแผนสำหรับการมีบุตร คุณแม่และครอบครัวควรรู้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่จะได้รับว่ามีอะไรบ้าง ดังนี้

1) สิทธิค่าฝากครรภ์

          สิทธิประโยชน์จากประกันสังคมตามประกาศคณะกรรมการการแพทย์ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม เรื่องหลักเกณฑ์และอัตราสำหรับประโยชน์ทดแทนกรณีการฝากครรภ์ตามเกณฑ์คุณภาพ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป ประกันสังคมจะจ่ายค่าฝากครรภ์ให้คุณแม่โดยปรับเพิ่มค่าฝากครรภ์ 5 ครั้ง รวมเป็นเงิน 1,500 บาท (จากเดิม 3 ครั้ง 1,000 บาท) ตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

  1. อายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 500 บาท
  2. อายุครรภ์มากกว่า 12 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 20 สัปดาห์ จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 300 บาท
  3. อายุครรภ์มากกว่า 20 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 28 สัปดาห์ จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 300 บาท
  4. อายุครรภ์มากกว่า 28 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 32 สัปดาห์ จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 200 บาท
  5. อายุครรภ์มากกว่า 32 สัปดาห์ ถึง 40 สัปดาห์ขึ้นไป จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 200 บาท

สำหรับคุณแม่ที่ประกอบอาชีพอิสระ สามารถรับสิทธิ์จากบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือบัตรทองซึ่งสามารถฝากครรภ์ และรับบริการในการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็กได้ฟรี และเสียค่าใช้จ่าย 30 บาท สำหรับการตรวจครรภ์และการคลอดบุตร (ไม่เกิน 2 ครั้ง) แต่ถ้าคุณแม่ประกอบอาชีพอิสระ และสมัครใจเข้าจ่ายประกันสังคม คุณแม่มีสิทธิที่จะได้รับเงินช่วยเหลือคลอดบุตรและเงินสงเคราะห์บุตรได้

2) สิทธิการลาคลอดบุตร

ปัจจุบันคุณแม่สามารถลาคลอดได้นานถึง 98 วัน ซึ่งนับรวมการลาเพื่อไปตรวจครรภ์ก่อนคลอดบุตรด้วย โดยแบ่งเป็นลาคลอดบุตร 90 วัน และลาเพื่อไปตรวจครรภ์อีก 8 วัน รวมเป็น 98 วัน

          โดยสิทธิประกันสังคมตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2562 (ฉบับที่ 7) ให้ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์ มีสิทธิลาเพื่อคลอดบุตร ครรภ์หนึ่งไม่เกิน 98 วัน รวมถึงวันลาเพื่อตรวจครรภ์ก่อนคลอดบุตรด้วย และให้นับรวมวันหยุดที่มีในระหว่างวันลาด้วย โดยลูกจ้างจะได้รับค่าจ้างระหว่างลาคลอดบุตรจากนายจ้าง 45 วัน ในอัตรา 100% ของค่าจ้าง และสำนักงานประกันสังคมจ่ายเพิ่มให้อีก 50% ของค่าจ้าง เป็นเวลา 45 วัน ส่วนอีก 8 วันที่เหลือไม่ได้มีการระบุว่าใครจะต้องเป็นคนจ่าย ดังนั้น นายจ้างและประกันสังคมมีสิทธิ์ที่จะไม่จ่ายค่าจ้างในอีก 8 วันที่เพิ่มมาโดยไม่มีความผิด จึงเห็นได้ว่าจำนวนวันลา 8 วันที่เพิ่มขึ้นนั้น ลูกจ้างยังไม่ได้รับความคุ้มครองในเรื่องค่าจ้าง ซึ่งขณะนี้กระทรวงแรงงานอยู่ระหว่างดำเนินการให้สำนักงานประกันสังคมเสนอปรับแก้ไขกฎหมายเพิ่มสิทธิให้กับลูกจ้าง โดยจะปรับเพิ่มประโยชน์ทดแทนให้ผู้ประกันตน จากร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ย 90 วัน เป็นร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ย 98 วัน ซึ่งจะมีผลให้ลูกจ้างได้รับค่าจ้างในวันลาเพิ่มขึ้นจากสิทธิเดิม ทั้งนี้ ในกรณีใช้สิทธิบุตรคนที่ 3 จะไม่ได้รับสิทธิเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรนี้

ในขณะที่ สิทธิข้าราชการ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. 2555 สามารถลาคลอดบุตรครั้งหนึ่งได้ 90 วัน จะลาในวันที่คลอด ก่อนหรือหลังคลอดก็ได้ แต่รวมแล้วไม่เกินระยะเวลา 90 วัน (นับต่อเนื่องรวมวันหยุดราชการ) โดยมีสิทธิได้รับเงินเดือนระหว่างลาไม่เกิน 90 วัน รวมทั้งพนักงานราชการสามารถรับเงินเดือนได้ตามปกติ โดย 45 วันรับจากส่วนราชการ และอีก 45 วันรับจากสำนักงานประกันสังคม พร้อมมีสิทธิ์ลากิจเพื่อเลี้ยงดูบุตรได้ไม่เกิน 150 วันทำการ โดยไม่รับเงินเดือน

สิทธิพนักงานรัฐวิสาหกิจ ได้ปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่ลูกจ้างรัฐวิสาหกิจหญิงมีสิทธิลาคลอดบุตรจากเดิม 90 วัน เป็น 98 วัน โดยได้รับเงินเดือนตามปกติ หากประสงค์จะลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรให้มีสิทธิลาต่อเนื่องจากการลาคลอดบุตรได้ไม่เกิน 150 วันทำงาน โดยไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างระหว่างลา ตามประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ 5)  

นอกจากนี้ สามีที่เป็นข้าราชการหรือพนักงานราชการยังสามารถลาไปช่วยเหลือภรรยาที่คลอดบุตร ซึ่งลาได้ครั้งหนึ่งติดต่อกันไม่เกิน 15 วันทำการ การลาไปช่วยเหลือภรรยาที่คลอดบุตรภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ภรรยาคลอดบุตร มีสิทธิได้รับเงินเดือนระหว่างลาไม่เกิน 15 วันทำการ แต่ถ้าเป็นการลาเมื่อพ้น 30 วันนับแต่ภรรยาคลอดบุตร จะไม่ได้รับเงินเดือนระหว่างลา ส่วนสามีที่เป็นพนักงานเอกชน กฎหมายลาคลอดยังไม่มีการบังคับใช้กับภาคเอกชน ดังนั้น สวัสดิการลาคลอดของผู้ชายจึงขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละองค์กร ว่าองค์กรใดมีสวัสดิการในส่วนนี้สำหรับพนักงานชายที่ประสงค์จะลาคลอดเพื่อดูแลภรรยาและบุตรหรือไม่

3) สิทธิค่าคลอดบุตร

การเบิกสิทธิประกันสังคม กรณีคลอดบุตร คุณแม่ที่มีสิทธิ์ในการเบิกจะต้องจ่ายเงินสมทบประกันสังคมมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 5 เดือน และภายใน 15 เดือน ก่อนการคลอดบุตร โดยประกันสังคมจะจ่ายค่าบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายในกรณีคลอดบุตร ในอัตรา 15,000 บาท จากเดิม 13,000 บาท หากคุณแม่และคุณพ่อเป็นผู้ประกันตนประกันสังคมทั้งคู่ ให้ใช้สิทธิการเบิกค่าคลอดบุตรของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยไม่จำกัดจำนวนบุตร และจำนวนครั้ง

สิทธิข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลสำหรับค่าใช้จ่ายในการตรวจครรภ์ ค่าคลอดบุตรและการดูแลหลังคลอดบุตร ตามระเบียบและหลักเกณฑ์ที่กำหนด

4) สิทธิค่าสงเคราะห์บุตร

          นอกจากคุณแม่จะสามารถเบิกค่าคลอดบุตรจากประกันสังคมได้แล้ว คุณแม่ยังสามารถเบิกค่าสงเคราะห์บุตรได้อีกด้วย โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้

1. เป็นผู้ประกันสังคม ตามมาตรา 33 หรือมาตรา 39

2. ต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน ภายในระยะเวลา 36 เดือน ก่อนเดือนที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน

3. ประกันสังคมจะจ่ายเงินสงเคราะห์บุตรเดือนละ 800 บาท ต่อบุตรหนึ่งคน จะต้องเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ยกเว้น บุตรบุญธรรม หรือบุตรซึ่งยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่น และผู้ประกันตน ตามมาตรา 40ทางเลือกที่ 3 ได้รับเงินสงเคราะห์บุตรเดือนละ 200 บาท

4. บุตรมีอายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ปีบริบูรณ์ จำนวนคราวละไม่เกิน 3 คน เว้นแต่ผู้ประกันตนเป็นผู้ทุพพลภาพ หรือถึงแก่ความตาย ในขณะที่บุตรมีอายุแรกเกิด จนถึง 6 ปีบริบูรณ์ จะมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนต่อจนอายุ 6 ปีบริบูรณ์

สิทธิพนักงานรัฐวิสาหกิจ ได้รับค่าช่วยเหลือบุตรเป็นรายเดือน โดยปรับจากเดือนละ 50 บาท เป็นเดือนละ 200 บาทต่อบุตรหนึ่งคน สำหรับบุตรคนที่ 1 ถึงคนที่ 3 จนกว่าบุตรจะมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ ตามประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์การจ่ายค่าช่วยเหลือบุตร และค่าช่วยเหลือการศึกษาของบุตร

5) สิทธิในการลดหย่อนภาษี

          สิทธิในการลดหย่อนภาษีจากกรมสรรพากร กรณีบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายใช้สิทธิได้เท่าจำนวนบุตรจริงคนละ 30,000 บาท กรณีบุตรบุญธรรมที่ชอบด้วยกฎหมายเพียงอย่างเดียวได้สูงสุด 3 คน ๆ ละ 30,000 บาท และค่าลดหย่อนบุตรคนที่ 2 ที่เกิดตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป ลดหย่อนเพิ่มคนละ 60,000 บาท รวมถึงมารดาที่กำลังตั้งครรภ์สามารถนำค่าฝากครรภ์และค่าคลอดบุตรไปใช้เป็นค่าลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง รวมสูงสุดไม่เกินท้องละ 60,000 บาท ต่อปี แต่สำหรับการตั้งครรภ์ลูกแฝดจะยังนับเพียงท้องเดียว

          นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีการจัดทำโครงการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือครอบครัวที่มีรายได้น้อยในการเลี้ยงดูบุตร ได้แก่

1. เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูบุตรแรกเกิด (แรกเกิด – 6 ปี)

          เป็นโครงการเงินอุดหนุนของรัฐบาลที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเด็กในครอบครัวที่มีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 100,000 บาท/ปี โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จะช่วยเหลือเงินให้กับผู้ปกครองจำนวน 600 บาท/เดือน ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 ปี เพียงการลงทะเบียนครั้งเดียว (ยกเว้นมีลูกเพิ่ม) โดยให้ผู้ปกครองลงทะเบียนเพื่อยื่นขอรับเงินและจะมีการโอนเงินเข้าบัญชีโดยตรงผู้ลงทะเบียนต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้

ผู้ปกครอง : มีสัญชาติไทย เป็นบุคคลที่รับเด็กแรกเกิดไว้ในความอุปการะ เด็กแรกเกิดต้องอาศัยรวมอยู่ด้วย

เด็กแรกเกิด : มีสัญชาติไทย เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี อยู่ในครัวเรือนที่มีรายได้น้อย สมาชิกในครัวเรือนมีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 100,000 บาทต่อคน ต่อปี ไม่อยู่ในสถานสงเคราะห์ของหน่วยงานรัฐและเอกชนโดยสามารถตรวจสอบสิทธิได้จากทางเว็บไซต์ของกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

2. เงินสงเคราะห์เด็กในครอบครัวยากจน (แรกเกิด – 18 ปี, 20 ปี)

          กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ช่วยเหลือเงินให้กับครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและเดือดร้อนด้านการเงินจนไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กได้ ซึ่งเป็นการให้ความช่วยเหลือแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ารายครั้งแก่เด็กอายุไม่เกิน 18 ปีบริบูรณ์ หรืออยู่ระหว่างการศึกษาอายุไม่เกิน 20 ปีบริบูรณ์ ที่อยู่ในครอบครัวยากจน ประสบปัญหาความเดือดร้อน ซึ่งกระทบต่อสวัสดิภาพของเด็ก เช่น กำพร้า ยากจน พิการทางร่างกาย สมองและปัญญา หรือจิตใจ บิดา มารดา หรือผู้ปกครองถูกจำคุก กักขัง พิการ และทุพพลภาพ ป่วยทางร่างกายหรือจิตใจ ไม่สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงครอบครัวได้

โดยการช่วยเหลือจะแบ่งได้ดังนี้

  • เงิน ได้รับเงินช่วยเหลือครั้งละไม่เกิน 1,000 บาท สำหรับครอบครัวที่มีเด็กหนึ่งคน และไม่เกิน 3,000 บาท สำหรับครอบครัวที่มีเด็กเกินกว่าหนึ่งคน
  • สิ่งของ (เครื่องอุปโภคบริโภค) วงเงินไม่เกิน 1,000 บาท สำหรับครอบครัวที่มีเด็กหนึ่งคน และไม่เกิน 3,000 บาท สำหรับครอบครัวที่มีเด็กเกินกว่าหนึ่งคน
  • ทั้งเงินและสิ่งของ วงเงินไม่เกิน 2,000 บาท สำหรับครอบครัวที่มีเด็กหนึ่งคน และไม่เกิน 3,000 บาท สำหรับครอบครัวที่มีเด็กเกินกว่าหนึ่งคน

ทั้งนี้ เป็นไปตามหลักการเบิกจ่ายเงินสงเคราะห์เด็กในครอบครัวยากจน ในอัตราและหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนด

เรียบเรียงโดย สำนักนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา

เอกสารอ้างอิง

เอกสารอ้างอิง

DUMEX ฮาร์ท ทู ฮาร์ท คลับ. (n.d.). สิทธิในการลาคลอดมีอะไรบ้าง. สืบค้น 29 ตุลาคม 2567 จาก https://www.dumex.co.th/pregnancy/ labor-delivery/maternity-rights.html

Enfa Smart Club. (n.d.). ลาคลอดได้กี่วัน ลาแล้วได้เงินไหม สิทธิแม่ท้องที่ต้องรู้. สืบค้น 29 ตุลาคม 2567
จาก https://www.enfababy.com/how-long-is-maternity-leave#can-mom-get-salary-during-maternity-leave

Info Portal. (2565, 4 มีนาคม). เด็กไทยมีสิทธิ์ได้เงินช่วยเหลืออะไรบ้าง. สืบค้น 30 ตุลาคม 2567 จาก https://portal.info.go.th/children-welfare/

กรุงเทพธุรกิจ. (2566, 11 ตุลาคม). คนมีลูก มีสิทธิได้ 2 เด้ง เงินอุดหนุนบุตร-เงินสงเคราะห์บุตร. สืบค้น 30 ตุลาคม 2567 จาก https://www.bangkokbiznews.com/health/social/1093271

บริษัท มี้ด จอห์นสัน ประเทศไทย. (2565, 3 พฤษภาคม). รวมสิทธิประกันสังคมที่แม่ท้องต้องรู้ อัปเดต ๒๕๖๕. สืบค้น 29 ตุลาคม 2567 จาก https://www.enfababy.com/social-security-benefits-for-pregnancy