ฝึกงานบ้าน จะทำงานเป็นตั้งแต่ปฐมวัย

งานสำรวจครู / ผู้ดูแลเด็กปฐมวัยจำนวน 1,163 คน โดย ผศ.ดร.ยศวีร์ สายฟ้า คณะครุศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดโควิด-19 ถึงสถานการณ์ภาวะการเรียนรู้ถดถอย (Learning Loss) ในเด็กอายุ 3-5 ปี พบว่า มีปัญหาเกิดขึ้นหลายด้าน เช่น ด้านสติปัญญา มีความถดถอยในการฟัง จับใจความ การฟังคำสั่ง ที่วิกฤตที่สุดคือ สมาธิจดจ่อและการคิดแยกแยะลดลง ด้านร่างกายและสุขภาวะพบว่า เด็กส่วนหนึ่งมีปัญหาการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กกับสายตา และเด็กจำนวนมากใช้สายตากับหน้าจอมากเกินไป ในด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ พบว่าด้านที่มีปัญหามากในเด็ก 3-5 ปี คือความสามารถในการอดทนรอคอย ความรับผิดชอบทำงานที่ได้รับมอบหมายจนเสร็จ

ซึ่งปัญหาทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นปัญหาที่เกิดมาจากการที่ทักษะสมองส่วนหน้า EF อ่อนแอ ไม่ได้รับการฝึกฝนเพียงพอในช่วงที่เด็กไม่ได้ไปโรงเรียน

ช่วยงานบ้านสร้างความรับผิดชอบ

การพัฒนาทักษะสมองส่วนหน้า EF เพื่อสร้างคุณลักษณะพึงประสงค์ จะพัฒนาได้ดีที่สุดในช่วงวัยอนุบาลและประถมต้น หากละเลยปล่อยไปถึงประถมปลาย การพัฒนาจะยากขึ้น และยากยิ่งขึ้นเมื่อเด็กเข้าสู่วัยรุ่น

          นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ จิตแพทย์ชื่อดังชี้ว่า เมื่ออายุ 2 ขวบ เด็กสามารถช่วยทำงานบ้านได้แล้ว งานบ้านเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ทักษะสมองส่วนหน้า EF ได้ฝึกฝน พ่อแม่ผู้ปกครองไม่ต้องเสียเงินส่งลูกเข้าคอร์สฝึกสมอง แต่ให้มอบหมายให้ลูกปฐมวัยบริหารจัดการงานบ้านตามที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จ เช่น ให้ช่วยจัดโต๊ะอาหาร  ช่วยเอาขยะไปทิ้งหน้าบ้าน  ช่วยตากเสื้อผ้าที่ซักแล้ว เด็กที่ได้รับมอบหมายให้ทำงานบ้านจะฝึกพัฒนาความรับผิดชอบทีละเล็กละน้อย การจะทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จต้องใช้ความอดทน ต้องควบคุมตนเองให้จดจ่อ ตั้งใจทำงาน ต้องคิดริเริ่มและวางแผนงาน ต้องใช้สมองในการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น จนสำเร็จตามเป้าหมาย งานบ้านทุกชนิดฝึกให้เด็กเกิดคุณลักษณะเป็นคนมีความรับผิดชอบและเก่งแก้ปัญหา

งานบ้านฝึกความมีน้ำใจ

ในการอยู่ร่วมกันในบ้าน การทำงานบ้านคือ การเข้ามาแบ่งเบาภาระการงานของส่วนรวม ร่วมมือช่วยกันคนละไม้ละมือ เพื่อทำให้ความเป็นอยู่ในบ้านดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย การทำงานบ้านเป็นการสร้างการเรียนรู้ตั้งแต่เด็กว่าการอยู่ร่วมกัน ทุกคนมีหน้าที่ต้องช่วยกันตามกำลังความสามารถ งานบ้านไม่ใช่หน้าที่เฉพาะของใครคนใดคนหนึ่งที่ต้องรับใช้คนอื่น หรือมีใครคนใดคนหนึ่งที่คนอื่นต้องคอยรับใช้ ช่วยเหลือเพียงฝ่ายเดียว

การทำงานบ้านตั้งแต่ยังเล็กตามกำลังจนเสร็จในแต่ละวัน เหมือนการใส่เงินในออมสินทีละน้อย ทำให้เด็กรู้ว่าตนมีความสามารถ และเป็นคนมีน้ำใจ ไม่นิ่งดูดายเมื่อเห็นคนในบ้านต้องการความช่วยเหลือ เมื่อโตขึ้นจะนำไปสู่ความมีจิตอาสา งานจิตอาสาเป็นฐานสำคัญในการสร้าง Self และพัฒนาสมองส่วนหน้าที่สำคัญในช่วงวัยรุ่นด้วย

อาจารย์ราศี ทองสวัสดิ์ อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลสามเสน เคยชี้ว่า จากการสังเกตเด็กเป็นเวลายาวนาน ท่านพบว่า เด็กที่ช่วยงานบ้านจะเป็นคนมีน้ำใจ และมักประสบความสำเร็จในการงานเมื่อทำงานร่วมกับคนอื่น

งานบ้านที่เด็กปฐมวัยทำได้

งานบ้านฝึกสมองได้ดีกว่าการบ้านในสมุด เมื่อเด็กโตพอที่จะใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่และมัดเล็กได้พอสมควร พ่อแม่สามารถจัดตารางกิจวัตรประจำวันให้ลูกได้ช่วยงานบ้านทีละเล็กละน้อย เด็กเล็กสามารถฟังคำสั่งเข้าใจ งานบ้านที่ช่วยพ่อแม่เริ่มได้ตั้งแต่การแบ่งเบาภาระพ่อแม่ในการดูแลตนเอง เช่น

– ตื่นแล้วช่วยพ่อแม่เก็บหมอน พับผ้าห่ม

– ถอดเสื้อแล้วเอาไปเก็บในตะกร้า

– เล่นแล้วเก็บของเล่นให้เข้าที่

– ช่วยส่งผ้าให้ผู้ใหญ่ซัก ช่วยหยิบเสื้อให้แม่ / พ่อขึ้นตากราว เก็บผ้าที่แห้งแล้ว

– กินแล้วเอาจานไปล้าง เช็ดโต๊ะ กรอกน้ำ

– เปิดน้ำช่วยล้างผักให้ตอนแม่ทำครัว ช่วยแม่เด็ดผัก

– ช่วยถือของ

– ช่วยเก็บเศษขยะหรือใบไม้รอบบ้าน

– ให้อาหารสัตว์เลี้ยง

จะเห็นว่าเด็กสามารถทำอะไรได้มากมายตามวัย โดยเริ่มจากการที่ผู้ใหญ่มอบหมายให้เป็นผู้ช่วยตามกำลัง หน้าที่ของผู้ใหญ่คือ ค่อย ๆ สอน จับมือทำ อยู่เคียงข้าง ชื่นชมและใจเย็น ต้องไม่คาดหวังว่างานต้องสมบูรณ์แบบตั้งแต่แรก แต่เน้นที่ให้มีใจอยากทำ ค่อย ๆ ชม ค่อย ๆ ฝึก ต่อไปเขาก็จะทำได้เรียบร้อยมากขึ้นเรื่อย ๆ

งานบ้านสร้าง Self

การทำงานบ้านในเด็กเล็กเป็นการเรียนรู้สิ่งใหม่ สำหรับเด็กเป็นกิจกรรมการเล่นอย่างหนึ่งที่น่าตื่นเต้น ดีใจ ว่าตนทำได้เหมือนผู้ใหญ่แล้ว สำหรับเด็กชั้นประถมงานบ้านที่ต้องทำประจำอาจจะนำไปสู่ความน่าเบื่อ เด็กอยากเล่นกับเพื่อนมากกว่า แต่ต้องอดทนทำให้เสร็จตามที่รับมอบหมายมา ผศ.ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร แห่งสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ได้อธิบายอย่างน่าสนใจว่า คำว่า “อด” หมายความว่าไม่ได้ในสิ่งที่อยากได้ “ทน” หมายความว่าได้ในสิ่งที่ไม่อยากได้ แต่ไม่ว่า “อด” หรือ “ทน” ก็คือกระบวนการฝึกทักษะสมอง ในด้านการยับยั้งไตร่ตรอง (Inhibitory Control) ทำให้เด็กเรียนรู้ว่า เมื่อฝ่าฟันความลำบาก อดทน ตนก็สามารถทำได้สำเร็จ ยิ่งเห็นประโยชน์และได้รับรู้ว่าสิ่งที่ตนทำนั้น คนในบ้านและพ่อแม่เห็นคุณค่า เด็กก็จะเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่เห็นคุณค่าในตนเอง (Self – Esteem) มีความรับผิดชอบแบบผู้ใหญ่ และมีความเป็นตัวของตัวเอง

หากท่านใดสนใจเกี่ยวกับเรื่องฝึกงานบ้าน จะทำงานเป็นตั้งแต่ปฐมวัย สามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดได้ที่ https://ecd-covidrecovery.rlg-ef.com/%e0%b8%9d%e0%b8%b6%e0%b8%81%e0%b8%87%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%9a%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99-%e0%b8%88%e0%b8%b0%e0%b8%97%e0%b8%b3%e0%b8%87%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b9%87%e0%b8%99%e0%b8%95

เอกสารอ้างอิง

ภาวนา อร่ามฤทธิ์. (2566). ฝึกงานบ้าน จะทำงานเป็นตั้งแต่ปฐมวัย. สืบค้นเมื่อ 9 มิถุนายน 2567 จาก
https://ecd-covidrecovery.rlg-ef.com/%e0%b8%9d%e0%b8%b6%e0%b8%81%e0%b8%87%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%9a%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99-%e0%b8%88%e0%b8%b0%e0%b8%97%e0%b8%b3%e0%b8%87%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b9%87%e0%b8%99%e0%b8%95/