สถานการณ์โควิดทำให้ผู้คนเครียดกังวล ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวพุ่งสูงขึ้น
เป็นสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบในทุกภาคของประเทศไทย ข้อมูลจากสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชาชนกลุ่มเฉพาะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ชี้ว่า ความเครียดของประชากรสะท้อนออกมาเป็นความรุนแรงในครอบครัวที่เพิ่มขึ้นจากเดิมถึงร้อยละ 66 สอดคล้องกับข้อมูลจากยูนิเซฟ ซึ่งทำการสำรวจครอบครัวในจังหวัดขอนแก่นและพิษณุโลก ซึ่งร้อยละ 40 ของพ่อแม่เหล่านี้สะท้อนว่า ตนตบตีลูก ปรากฏการณ์เหล่านี้ส่งผลเชิงลบต่อสภาพจิตใจของผู้คน
ความสัมพันธ์ในครอบครัว รวมถึงกลไกการทำงานในสมอง และตัวตนของเด็กที่กำลังพัฒนา
การควบคุมอารมณ์และความหุนหันพลันแล่น
ในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ความผันผวนเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาและเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ แต่สิ่งที่เราพอจะควบคุมได้คือ การควบคุมตนเอง จากความเครียดที่มากระทบให้เกิดอารมณ์และความหุนหันพลันแล่น เพราะการปล่อยให้สมองส่วนกลางที่ทำงานเกี่ยวกับอารมณ์ มีกำลังเหนือกว่าทักษะสมองส่วนหน้าที่ทำหน้าที่ในการคิด อาจนำปัญหาอื่น ๆ เข้ามาสู่ชีวิตมากขึ้นจนยากจะแก้ไข สมองส่วนหน้า (ที่มนุษย์มีมากที่สุด) จะทำหน้าที่คิดวิเคราะห์ ประมวลข้อมูลและสถานการณ์ต่าง ๆ นำไปสู่การแก้ปัญหาให้ดีขึ้นได้ ต้องเริ่มจากเราสามารถรู้เท่าทันได้ว่า อารมณ์และความหุนหันพลันแล่นของเรานั้น เกิดขึ้นจากการทำงานของสมองส่วนกลางที่ตอบโต้สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า การดุด่าหรือใช้ความรุนแรงของพ่อแม่ผู้ปกครองนั้น อาจดูเหมือนยุติสถานการณ์ที่เราไม่พอใจได้ แต่จะยุติได้เพียงชั่วขณะเท่านั้น ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิตใจของเด็กที่ถูกปฏิบัติด้วยความรุนแรงของพ่อแม่ผู้ปกครอง อาจกลายเป็น “แผลเป็นทางใจ” ที่คอยบั่นทอนพลังของเด็กไปตลอดชีวิต
เป็นพ่อแม่ต้องมีสติ
เมื่อมีความผันผวนที่ควบคุมไม่ได้เข้ามากระทบใจ กายและความคุ้นชินที่เป็นอยู่ ทำให้เกิดความเครียดโดยฉับพลัน หรือบางทีสะสมทีละน้อยโดยไม่รู้สึกตัว จนแสดงออกมาเป็นความรุนแรงต่อคนในครอบครัวที่เรารัก โดยเฉพาะกับลูกตัวน้อยการฝึกตนเองให้มีสติจึงเป็นทักษะสำคัญที่พ่อแม่ผู้ปกครองทุกคนสามารถฝึกได้และควรฝึก เพื่อให้เท่าทันอารมณ์ ความคิดของตนเองที่เกิดขึ้น เช่น
– การจดจ่อกับลมหายใจที่ช้าลง ลึกลง
– การหันเหไปทำกิจกรรมอื่น
– การนับ 1 ไปถึง 100 หรือ การนับเลขถอยหลัง
– การพาตัวเองออกไปจากสถานการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมตนเอง
จัดสภาพอารมณ์และจิตใจ
พ่อแม่ผู้ปกครองจำเป็นต้องมีทักษะในการจัดสภาพอารมณ์และจิตใจภายใต้ความกดดันจากสภาพการเปลี่ยนแปลงที่เข้ามากระทบ โดยควรกำหนดเป็นกิจวัตรประจำวันที่เป็นบวก ซึ่งทุกคนสามารถทำได้ ตั้งแต่
– การออกกำลังกายจนเหงื่อออกอย่างสม่ำเสมอให้สารเอ็นโดฟินหลั่ง
– การหาช่วงเวลาในแต่ละวันให้ตนเองและครอบครัวได้ผ่อนคลาย เช่น การออกเดินเร็ว ๆ
ทำสวน ชวนลูกปลูกต้นไม้ ดูหนัง ฟังเพลงบ้าง เล่นกับสัตว์เลี้ยง
– การให้เวลากับตนเอง ทำโยคะ นั่งนิ่งปิดเปลือกตา การนั่งสมาธิ การนวดมือด้วยลูกบอล การจิบน้ำชา หรือพูดคุยกับเพื่อน
– สนุกสนานและหัวเราะกับลูกและคู่ชีวิตทุกวัน
– นอนหลับให้เพียงพอ
โดยกิจกรรมในชีวิตประจำวันเหล่านี้มีความสำคัญ ที่ช่วยให้มีพลังความสดชื่นภายใต้สภาวะที่รู้สึกว่าชีวิตถูกกดดันจากทุกทาง
มองโลกทางบวก
ความเครียดเกิดจากทรัพยากรที่เรามีอยู่ไม่พอที่จะรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ ตั้งแต่มีเวลาไม่พอ มีเงิน
ไม่พอ มีความรู้ความเข้าใจไม่พอ มีความอดทนไม่พอ ฯลฯ การได้ให้เวลาตนเองทบทวนอย่างจริงจัง ดึงตัวเองออกมา
จากการจมอยู่ในปัญหา มองกลับเข้าไปใหม่เพื่อหาทางออก จะทำให้เห็นความเป็นจริงมากขึ้น จะทำให้ค้นหาทางออกได้มากขึ้น ว่าจะแก้ไขตรงไหน อย่างไร หรือหากแก้ไขไม่ได้ จะหาทางออกไปจากสถานการณ์ที่กดดันนั้นอย่างไร
มุมมองเชิงบวก เชื่อมั่นในตนเอง ให้กำลังใจตนเอง สนับสนุนตนเองหรือหา “การหนุนช่วย” จากคนรอบข้าง ชุมชนรวมถึงหน่วยงานที่ให้บริการ จะเป็นอีกหนทาง ที่ช่วยให้พ่อแม่สามารถจัดการความเครียดได้ดีขึ้นเมื่อมีสิ่งที่ยากจะคาดเดาได้ มากระทบ เพื่อเป็นฐานของการฟื้นฟูครอบครัว ฟื้นฟูลูกซึ่งยังเด็ก คืนความสุขให้กลับเข้ามาในบ้าน ลดความเครียด ความรุนแรงในครอบครัว ฟื้นฟูพัฒนาการของลูกที่หายหรือถดถอยไปช่วงโควิด ให้พัฒนาสมวัย เติบโต เติบใหญ่ดังที่หวังและตั้งใจ