“ศานนท์ หวังสร้างบุญ” เผย เมืองหลวงเต็มไปด้วยคนจนเมือง ชุมชนแออัด พ่อแม่มีลูก
ไม่พร้อม เด็กปฐมวัยเข้าไม่ถึงระบบการเรียนฟรี 15 ปี มีเด็ก 63,997 คน ไม่มีหน่วยงานดูแล ลั่นปี 2566 กทม. เล็งทำ “แซนด์บ็อกซ์เด็กเล็ก” สร้างต้นแบบพัฒนาคุณภาพของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก
ทุกมิติ
“การเฝ้าระวังและฟื้นฟูผลกระทบต่อเด็กในภาวะยากลำบากภายหลังการระบาดของ
โควิด-19″ และนโยบายของกรุงเทพมหานคร ในการเฝ้าระวังและฟื้นฟูผลกระทบต่อเด็กจากภาวะยากลำบากภายหลังการระบาดของโควิด-19 โดยความร่วมมือระหว่าง สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับสำนักพัฒนาสังคมกรุงเทพมหานคร สำนักงานวิจัยแห่งชาติ (วช.) และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เมื่อวันที่ 27 ม.ค. 2566
ที่โรงแรมมารวยการ์เด้น ถนนพหลโยธิน เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร
นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า แม้ในประเทศไทยจะมีหลักประกันสุขภาพ ให้การดูแลเด็กตั้งแต่ในครรภ์มารดา มีระบบการส่งเสริมการศึกษาของเด็กเล็กตั้งแต่อายุ 2 ปี แต่ในกรุงเทพมหานคร (กทม.)ซึ่งเป็นเมืองหลวงที่เจริญที่สุดกลับมีปัญหาคนจน
มีความเหลื่อมล้ำของการดูแล และให้การศึกษาของเด็กเล็ก ๆ หรือที่เรียกว่าเด็กปฐมวัย พบว่า
มีเด็กเล็ก ๆ ที่อยู่ในครอบครัวยากจน ชุมชนแออัด พ่อแม่มีความไม่พร้อมด้วยเหตุหลายประการ เช่น เป็นวัยรุ่น เป็นประชากรแฝง เลี้ยงเดี่ยว ติดยา ครอบครัวใช้ความรุนแรง แตกแยก เด็กในครอบครัวเหล่านี้หลุดออกจากการดูแลสุขภาพในระบบประกันสุขภาพ เข้าไม่ถึงระบบการเรียนฟรี 15 ปี หรือไม่มีสิทธิในโครงการเงินอุดหนุนทารกแรกเกิด หรือโครงการช่วยเหลือความยากจนอื่น ๆ ของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อเด็กและครอบครัวยากจนเหล่านี้มากขึ้น
กรุงเทพมหานคร จึงได้ร่วมกับสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กองทุนเพื่อความเสมอภาค
ทางการศึกษาและ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ติดตามปัญหานี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาระบบค้นหา
คัดกรอง และช่วยเหลือเด็กปฐมวัยในครัวเรือน บรรเทาความเดือดร้อนจากการระบาดของโควิด-19 และป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ พัฒนาการ ศักยภาพการเรียนรู้และพฤติกรรมของเด็กในระยะยาว รองผู้ว่าฯ กทม. ระบุว่ากรุงเทพมหานครได้จัดตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาศูนย์เด็กก่อนวัยเรียน
และการดูแลเด็กปฐมวัยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยรวมพลังความร่วมมือจากองค์กรต่าง ๆ
โดย รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็ก
และครอบครัว ได้ให้เกียรติร่วมเป็นกรรมการด้วยเพื่อเป้าหมายหลัก 2 ประการ ได้แก่
1) พัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของกรุงเทพมหานครและการพัฒนาทักษะให้แก่ครูผู้ดูแลเด็กที่ไม่จำกัดเพียง ศพด. ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานคร 278 ศูนย์ ดูแลเด็ก 18,864 คน อยู่ในพื้นที่ 45 เขตเท่านั้น จากทั้งหมด 50 เขต แต่ต้องมีแนวทางให้การสนับสนุนศูนย์ในชุมชนที่ไม่ได้รับการจัดตั้ง และช่วยเหลือเด็กอีก 63,997 คน ที่ยังไม่ทราบว่าอยู่ในการดูแลของสังกัดใด จากการสำรวจของสำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล ตั้งแต่ปี 2564
2) ติดตามกลุ่มเด็กยากจน เด็กในภาวะยากลำบากต่าง ๆ สนับสนุนการพัฒนากำลังคน
และความสามารถของคนในชุมชนที่ต้องทำงานกับเด็กและครอบครัวที่มีภาวะยากลำบาก ให้มีความรู้ ทักษะในการเฝ้าระวัง ให้การดูแล ฟื้นฟู และป้องกันเด็กในภาวะยากลำบาก และจะขยายให้การ
ดำเนินงานนี้ครอบคลุมทุกเขตพื้นที่ ครอบคลุมเด็กในภาวะยากลำบากทุกคน อย่างไรก็ตามกรุงเทพมหานครมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนระเบียบต่าง ๆ ที่เป็นข้อจำกัดให้ศูนย์สามารถดูแล
เด็ก ๆ ได้อย่างเต็มที่และมีคุณภาพ เช่น
- การปรับสถานะของศูนย์ให้มีความเป็นอิสระ ให้สามารถบริหารจัดการตนเองได้มากขึ้น
- การปรับสถานะครูให้ได้รับการพัฒนาทักษะและได้รับค่าตอบแทนอย่างเหมาะสม
- การปรับเงินอุดหนุน ค่าอาหาร ค่านม และค่าอุปกรณ์การเรียนของเด็กรายบุคคลให้เหมาะสม
และเพียงพอโดยเบื้องต้นกรุงเทพมหานคร ได้ปรับระเบียบเงินอุดหนุนค่าอาหารและนมของเด็กต่อวันจาก 20 บาท เป็น 32 บาทต่อคนต่อวัน ค่าอุปกรณ์การเรียนการสอน/เสริมทักษะ จาก
100 บาท เป็น 600 บาทต่อคนต่อปี เรียบร้อยแล้ว
- การปรับโครงสร้างการบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่อยู่ภายใต้การดูแลของฝ่ายพัฒนาชุมชน สำนักงานเขต ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการช่วยเหลือสงเคราะห์มากกว่าด้านการจัดการเรียนรู้ ต้องเป็นจุดเชื่อมโยง อสม. อพม. โรงเรียนอนุบาล ให้เป็นทีมบูรณาการในพื้นที่เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ให้แก่เด็กปฐมวัย
ภายใน ปี 2566 กทม. มีแผนทดลองนำร่องการพัฒนาศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน ผ่านกลไก Sandbox หรือ “แซนด์บ็อกซ์เด็กเล็ก” อย่างน้อย 30 แห่ง ร่วมกับองค์กรภาคี ได้แก่ กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), กองทุนเพื่อความเสมอภาคการศึกษา (กสศ.) รักลูก เลิร์นนิ่ง กรุ๊ป สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก
และมูลนิธิเด็กอ่อนในสลัม เพื่อสร้างต้นแบบการพัฒนาคุณภาพของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทุกมิติ ตั้งแต่อายุ 2 ถึง 8 ปี ให้มีความพร้อมเพื่อพัฒนาสุขภาพ ศักยภาพการเรียนรู้ และพฤติกรรมที่พึงประสงค์
ของเด็ก ๆ ให้เติบโตไปด้วยกันทั้งเด็กปกติและเด็กที่อยู่ครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ ทั้งในภาวะปกติ
และภาวะวิกฤติต่าง ๆ ของสังคม” รองผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร กล่าวสรุป