เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2566 ผลสำรวจใหม่โดยยูนิเซฟชี้ให้เห็นว่าครัวเรือนในประเทศไทย
เริ่มฟื้นจากวิกฤตโควิด-19 โดยประชากรทุกกลุ่มเริ่มกลับมามีงานทำและมีรายได้ อย่างไรก็ตาม
ครัวเรือนที่ยากจนที่สุดและครัวเรือนที่มีเด็กยังต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน เช่น การดูแลเด็ก หนี้ครัวเรือน และเงินออม
การสำรวจผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของวิกฤตโควิด-19 (High Frequency Survey) จัดทำขึ้นเพื่อประเมินผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และวิกฤตอื่น ๆ
เช่น ราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น โดยติดตามการฟื้นตัวของครัวเรือนในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นรายได้
การจ้างงาน การดูแลเด็ก ความมั่นคงทางอาหาร การศึกษา ตลอดจนการช่วยเหลือทางสังคม
ทั้งนี้การสำรวจจัดทำขึ้น 2 ครั้งในเดือนกันยายน 2565 และเดือนมีนาคม 2566 เพื่อเปรียบเทียบ
แนวโน้มการฟื้นตัว โดยได้สัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างกว่า 2,000 ครัวเรือนทั่วประเทศ
การสำรวจครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องการจ้างงาน
หลังจากที่หลายคนต้องถูกเลิกจ้างในช่วงการแพร่ระบาด ผลสำรวจชี้ว่า เกือบร้อยละ 90
ของผู้ให้สัมภาษณ์ในเดือนมีนาคม 2566 ระบุว่ามีงานทำซึ่งเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 79 ในเดือนกันยายน
ปีที่แล้ว นอกจากนี้ ร้อยละ 55 ของผู้ให้สัมภาษณ์ยังระบุว่ามีรายได้เพิ่มขึ้นและเกือบครึ่งระบุว่ารายได้ของพวกเขาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจพบว่าครัวเรือนที่มีเด็กมีการฟื้นตัวที่ช้ากว่าเมื่อเทียบกับประชากร
กลุ่มอื่น ๆ และมักกลับเข้าสู่ระบบการทำงานได้ยากกว่า ส่วนใหญ่เนื่องมาจากภาระการต้องเลี้ยงดูบุตรหลาน โดยมีแม่และย่าหรือยายเป็นผู้รับภาระดังกล่าวสูงถึงร้อยละ 86 เมื่อเทียบกับพ่อและปู่
หรือตา ซึ่งมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 4
นางคยองซอน คิม ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า “ในขณะที่เราเห็น
แนวโน้มการฟื้นตัวของประชากรกลุ่มต่าง ๆ แต่ครัวเรือนที่มีเด็กและครัวเรือนที่ยากจนยังคงฟื้นตัวได้ช้าและเผชิญกับความท้าทายมากมายไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงดูเด็ก การทำงาน และราคาสินค้า
ที่เพิ่มสูงขึ้น ความท้าทายเหล่านี้ล้วนตอกย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นที่ทุกฝ่ายต้องหันมาเพิ่มการลงทุนในเด็ก โดยเฉพาะการจัดให้มีบริการเลี้ยงดูเด็กที่มีคุณภาพในราคาเข้าถึงได้ ตลอดจนการขยายสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็กให้แบบถ้วนหน้า รวมถึงการเพิ่มจำนวนเงินเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระให้กับครอบครัวเนื่องจากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น”
การสำรวจยังพบอีกว่า การหาบริการเลี้ยงดูเด็กที่เหมาะสมยังเป็นความท้าทายสำคัญ
สำหรับผู้ปกครอง ซึ่ง 1 ใน 3 ของผู้ให้สัมภาษณ์ระบุว่าไม่ได้ทำงานเนื่องจากต้องเลี้ยงดูบุตรหลาน โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและชนบทซึ่งระบุว่าบริการรับเลี้ยงเด็กมีค่าใช้จ่ายสูงเกินไป
ในขณะที่ร้อยละ 5 ของผู้ให้สัมภาษณ์ ระบุว่า บางครั้งต้องทิ้งบุตรหลานอายุ 0-6 ปีไว้ลำพังหรือให้อยู่ในการดูแลของเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี และอีกร้อยละ 10 บอกว่ามักนำบุตรหลานไปทำงานด้วย
เพราะไม่สามารถฝากไว้กับใครได้
แม้ว่าครัวเรือนส่วนใหญ่จะได้รับความช่วยเหลือทางสังคมจากรัฐบาล แต่ผลสำรวจยังพบแนวโน้มที่น่าเป็นห่วงด้านเงินเก็บและหนี้ครัวเรือน โดยร้อยละ 70 ระบุว่าครัวเรือนมีเงินเก็บลดลงจาก
6 เดือนที่แล้วหรือไม่มีเงินเก็บเลย นอกจากนี้ในช่วงเดือนกันยายน 2565 – มีนาคม 2566 การกู้ยืมจากสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 21 เป็นร้อยละ 40 ในขณะที่การผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 24 เป็นร้อยละ 36 โดยครัวเรือนที่มีเด็กมีแนวโน้มจะมีปัญหาหนี้สินมากกว่า โดยร้อยละ 40 ผิดนัดชำระหนี้ในเดือนมีนาคม 2566
อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจพบแนวโน้มที่ดีว่าเด็ก ๆ ได้กลับไปเรียนในโรงเรียนอีกครั้ง โดยในเดือนมีนาคม 2566 ผู้ให้สัมภาษณ์เกือบทั้งหมดระบุว่าบุตรหลานของตนได้กลับไปเรียนหนังสือในโรงเรียน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 94 ในเดือนกันยายนปีที่แล้ว และส่วนใหญ่ก็ระบุว่าบุตรหลานไม่มีอุปสรรค
ในการติดตามบทเรียน
นางคิมกล่าวเสริมว่า “เราหวังว่าการสำรวจนี้จะช่วยเติมเต็มความพยายามของรัฐบาลไทย
ในการทำให้ประเทศฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 อย่างครอบคลุมโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง การกำหนดให้เด็กเป็นประเด็นหลักของวาระแห่งชาติจะช่วยให้เราไม่เพียงแต่ฟื้นตัวจากการแพร่ระบาด
เพียงอย่างเดียว แต่ยังจะช่วยนำเราไปสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนร่วมกันได้รวดเร็วขึ้นด้วย”