กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข สนับสนุนให้หญิงท้องคลอดธรรมชาติ รวมทั้ง ขอให้สถานพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ยึดหลักการผ่าตัดคลอดของราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย หลังพบอัตราการผ่าตัดคลอดในสถานพยาบาลของรัฐอยู่ในเกณฑ์สูงถึง
ร้อยละ 30 – 50 และมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากการศึกษาและการประมวลผลขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization, WHO) พบว่า การผ่าตัดคลอดในประเทศไทยและนานาชาติมีอัตราเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อมารดาและทารก
ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว อีกทั้ง ยังมีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลสูงขึ้น สำหรับในประเทศไทย พบว่า อัตราการผ่าตัดคลอดในสถานพยาบาลของรัฐอยู่ในเกณฑ์สูงเช่นเดียวกัน คือ ร้อยละ
30 – 50 ซึ่งกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย สนับสนุนให้สตรีตั้งครรภ์เลือกใช้วิธีการคลอดธรรมชาติ แต่หากต้องผ่าตัดคลอดควรเป็นไป
ตามข้อบ่งชี้ ภายใต้ประกาศ เรื่อง การผ่าตัดคลอด (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2566)
นายแพทย์โอฬาริก มุสิกวงศ์ ผู้อำนวยการกองมารดาและทารก กล่าวเพิ่มเติมว่า รายละเอียดข้อบ่งชี้ของราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย มีดังนี้
1) การผ่าตัดคลอด ควรทำในรายที่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ คือ เมื่อทารกไม่สามารถคลอด
ทางช่องคลอดได้อย่างปลอดภัย หรือมารดามีภาวะแทรกซ้อนขั้นรุนแรงที่จะทำให้การคลอด
ทางช่องคลอดมีความเสี่ยง
2) ประชาชนควรทราบว่า การผ่าตัดคลอดมีความเสี่ยงต่อทั้งมารดาและทารกมากกว่า
การคลอดทางช่องคลอด ซึ่งอาจจะเป็นผลที่เกิดจากการผ่าตัดหรือการให้ยาระงับความรู้สึก
3) ก่อนการผ่าตัดคลอด สตรีตั้งครรภ์ทุกราย ควรได้รับข้อมูลความรู้ที่ถูกต้อง ครบถ้วน
และเหมาะสมเกี่ยวกับประโยชน์และความเสี่ยงของการผ่าตัดคลอดจากบุคลากร
ทางการแพทย์จนเข้าใจดี และลงนามยินยอมเข้ารับการผ่าตัด
4) การผ่าตัดคลอดตามคำร้องขอของมารดา (maternal request) เป็นการผ่าตัดคลอด
ที่เกิดจากความต้องการของสตรีตั้งครรภ์ หรือญาติโดยไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์
สูตินรีแพทย์ควรสอบถามเหตุผลรับฟังความต้องการ อภิปรายความเสี่ยงและประโยชน์
ของการผ่าตัดคลอดให้สตรีตั้งครรภ์รับทราบจนเข้าใจดีแล้ว
หากยังยืนยันที่จะทำผ่าตัดคลอด ให้ลงนามในเอกสารแสดงความจำนง และใบยินยอมรับ
การผ่าตัดกรณีที่สูตินรีแพทย์ไม่เห็นด้วยที่จะทำผ่าตัดคลอด ให้แนะนำหรือส่งต่อสตรี
ตั้งครรภ์ไปพบสูตินรีแพทย์ท่านอื่น
5) การผ่าตัดคลอดแบบวางแผนล่วงหน้า (scheduled elective cesarean section) เป็นการ
ผ่าตัดที่มีการเตรียมการและระบุวัน เวลาไว้ชัดเจน แนะนำให้ทำผ่าตัดที่อายุครรภ์ตั้งแต่
39 สัปดาห์เป็นต้นไป
6) การที่แพทย์แนะนำหรือชักจูงให้สตรีตั้งครรภ์มาผ่าตัดคลอดโดยไม่มีข้อบ่งชี้
ทางการแพทย์ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดถือเป็นการกระทำที่ผิดจริยธรรมทางการแพทย์
7) อัตราการผ่าตัดคลอดที่เหมาะสมของแต่ละสถานพยาบาลอาจแตกต่างกัน ขึ้นกับบริบท
และสถานการณ์ที่รับผิดชอบ
8) สถานพยาบาล หน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องควรเก็บข้อมูลการคลอดแบบ
Robson classification เพื่อประโยชน์ในการประเมินและติดตามข้อมูลสำหรับ
การวางแผนการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินงานเพื่อลดการผ่าตัด
ทั้งนี้ การดำเนินงานตามหลักการดังกล่าว ก็เพื่อดูแลปกป้องสุขภาพมารดาและทารก
และให้เกิดความปลอดภัยอย่างสูงสุด